ชิงความได้เปรียบทางธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่ ร่วมกับ AI เพื่อการตัดสินใจและวางกลยุทธ์ที่เฉียบคม

หนึ่งในข้อมูลทรงพลังและเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญในการทำธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือ "ข้อมูลเชิงพื้นที่" (Spatial Data) ที่เมื่อทำงานร่วมกับความฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะกลายเป็นเครื่องมืออัจฉริยะที่ชื่อว่า "Location Intelligence" ช่วยให้การวางแผนและตัดสินใจดำเนินธุรกิจหรือพัฒนาเมืองมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มาเจาะลึกกันว่า "Location Intelligence” ที่เกิดจากการจับมือกันระหว่าง "ข้อมูลเชิงพื้นที่" และ “AI” จะยกระดับการวิเคราะห์ พัฒนาเมือง และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร
ข้อมูลเชิงพื้นที่คืออะไร
ข้อมูลเชิงพื้นที่หรือข้อมูลภูมิศาสตร์ (Spatial data) คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้งของข้อมูลต่าง ๆ บนโลก ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์และวางแผนด้านภูมิศาสตร์ อุตสาหกรรม และการพัฒนาเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลมักจะแสดงในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
- จุด (Point): จะใช้แสดงตำแหน่งที่ตั้งต่าง ๆ
- เส้น (Line): จะใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเส้น เช่น ถนน, แม่น้ำ
- พื้นที่ (Area or Polygon): จะใช้แสดงลักษณะพื้นที่ เช่น ขอบเขตการปกครอง พื้นที่อาคาร
ยกระดับการวิเคราะห์ให้แม่นยำกว่าเดิม ด้วยการผสานข้อมูลเชิงพื้นที่และ AI
ข้อมูลเชิงพื้นที่มักถูกนำมาวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) และตีความข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ แต่ด้วยยุคแห่งเทคโนโลยีอัจฉริยะ จึงมีการนำ AI เข้ามาผสมผสานกับข้อมูลเชิงพื้นที่ ทำให้เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่า Location Intelligence ที่อัปเกรดข้อมูลเชิงพื้นที่ให้ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ ลึกซึ้ง เห็นภาพรวมและแนวโน้มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้การตัดสินใจในหลากหลายอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการนำข้อมูลเชิงพื้นที่ผสาน AI มาใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจ
อย่างที่เล่าไปว่าข้อมูลเชิงพื้นที่เมื่อผสานพลังกับ AI จนกลายเป็น Location Intelligence จะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อการวางแผนการดำเนินงานหรือยุทธศาสตร์ที่จะสร้างโอกาสใหม่ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ลองดูแนวทางการนำมาใช้กัน
1. การวางแผนที่เหมาะสมในการขนส่งหรือโลจิสติกส์
การขนส่งสินค้าต้องใช้ต้นทุนเวลา ทรัพยากรบุคคล และค่าใช้จ่ายในเกี่ยวข้องกับการขนส่ง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ผสานการทำงานของ AI จะช่วยในการวิเคราะห์เส้นทางที่จะนำไปสู่การบริหารจัดการเวลาและเส้นทางได้อย่างเหมาะสมที่สุด เช่น เส้นทางไหนที่ใช้เวลาที่สั้นที่สุด ควรขนส่งในเวลาไหน คาดการณ์เวลาในการขนส่ง เป็นต้น
2. การวางแผนการขยายสาขาหรือเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน
ในการขยายสาขาหรือเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องใช้งบประมาณและเวลาในการสำรวจ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความคุ้มค่า หลังจากขยายสาขาแล้ว การสร้าง Location Intelligence จึงช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถลดต้นทุนจากการสำรวจ ช่วยระบุตำแหน่งที่คุ้มทุน และตัดสินใจในเรื่องแผนการขยายสาขาได้รวดเร็วขึ้น อย่างเช่น Globe Telecom บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในประเทศฟิลิปปินส์ ที่ต้องวางแผนโครงข่ายของมือถือและอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ให้คุ้มค่ากับเงินมหาศาลในการลงทุน และได้ ROI (Return of Investment) กลับมาเร็วที่สุด จึงใช้ได้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงแผนที่และข้อมูลสำคัญอื่น มาพัฒนาเป็น AI ช่วยค้นหาตำแหน่งบ้าน ทำนายสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งเวลาเพียง 2 สัปดาห์ แทนการใช้แรงงานคนในการสำรวจและบันทึกข้อมูลที่ต้องใช้งบประมาณสูงและเวลา 6-9 ปีจึงสำรวจครบ
3. การตัดสินใจการจัดวางตำแหน่งสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
การจัดวางตำแหน่งสินค้าที่เหมาะสม มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค การนำข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลอื่น ๆ มาผสานกับความฉลาดของ AI จะช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประชากร พฤติกรรมการซื้อ หรือความชอบส่วนตัว จึงสามารถตัดสินใจวางแผนการจัดวางสินค้าได้อย่างเหมาะสม ตรงจุด และระบุเส้นทางการเดินชมสินค้าที่ดีที่สุดได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำเสนอสินค้าและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการคลังสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การควบคุมปริมาณสินค้าคงคลัง ไปจนถึงการจัดวางตำแหน่งสินค้าในคลังให้หยิบง่าย ลดต้นทุน และเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงาน
4. การตัดสินใจแผนส่งเสริมการขายแบบรู้ใจคนในพื้นที่
การวางแผนการตลาดที่เจาะจงตามแต่ละพื้นที่ จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด เพิ่มโอกาสในการขาย และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแคมเปญที่เข้ากับคนในพื้นที่นั้น ๆ หรือการส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ ซึ่งการทำให้เกิดประสิทธิภาพ ควรนำข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง มาทำงานร่วมกับ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลประชากร ข้อมูลลักษณะพื้นที่ ข้อมูลพฤติกรรม ข้อมูลคู่แข่ง หรือข้อมูลการขาย วิธีการนี้จะช่วยให้การตัดสินใจเกี่ยวกับแผนส่งเสริมการขายแบบเฉพาะพื้นที่มีความแม่นยำ เพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการที่ตรงใจ อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณการตลาดที่ไม่จำเป็น รวมทั้งยังสามารถนำมาวิเคราะห์ผลลัพธ์ เพื่อปรับปรุงและวางแผนการตลาดในอนาคต
5. การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์
ข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนและพัฒนาระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาเมืองหรืออสังหาริมทรัพย์ การนำ AI เข้ามาช่วยจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการประเมินทำเลที่ตั้งและสภาพวัตถุที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างแม่นยำ ช่วยคาดการณ์แนวโน้ม รวมถึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสำรวจพื้นที่จริง
องค์กรหรือหน่วยงานใดที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลมหาศาลที่มีอย่างไร ลองเริ่มจากการนำข้อมูลเชิงพื้นที่มาผสานกับ AI เพื่อสร้าง Location Intelligence ดูก่อน เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การตัดสินใจที่แม่นยำในระดับที่ลึกและเร็วมากขึ้น มองเห็นแนวโน้มล่วงหน้า ลดต้นทุน ลดความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ และที่สำคัญไม่ต้องพึ่งพาเพียงแค่ดุลยพินิจอีกต่อไป
ขอบคุณข้อมูล
https://azira.com/blogs/what-is-location-intelligence-definition-and-use-cases